วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภัยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์..ต้องช่วยกันติดตามนะครับ

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไกคา ในเมืองไกคา รัฐกรณาฏกะทางภาคใต้ของอินเดีย ได้เกิดการปนเปื้อนของน้ำหล่อเย็น เข้าไปในน้ำดื่มในคูลเลอร์เครื่องหนึ่ง ทำให้ต้องส่งตัวพนักงาน 55 คน ไปรักษา เนื่องจากมีระดับทริเทรียมเพิ่มขึ้น หลังดื่มน้ำดังกล่าว ทริเทรียมเป็นไอโซโทปกัมมันตรังสีของไฮโดรเจน ที่มีอันตรายต่อสุขภาพเมื่อถูกบริโภคผ่านน้ำ อาหาร สูดดม หรือดูดกลิ่นผ่านผิวหนัง รัฐบาลกำลังเร่งสอบหาสาเหตุของการปนเปื้อนครั้งนี้

นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งนิวเคลียร์ กำลังถูกมองว่า อาจเป็นพลังงานทางเลือกในอนาคต หากเราเกิดวิกฤตจากปัญหาการขาดแคลนเชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ)

ปัญหาความปลอดภัย ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นจุดอ่อนที่สำคัญมาก ที่ทำให้เกิดการต่อต้านจากมวลชน เมื่อเวลาจะมีการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่เกิดขึ้น ณ ที่ใดๆ ซึ่งก็รวมถึงเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทยด้วย ที่ไม่ค่อยไปถึงไหน ก็เพราะประชาชนยังกลัวเรื่องความปลอดภัย ซึ่งปัญหามักมาจากความผิดพลาดของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ติดตามพายุใกล้ๆ บ้านเรากันครับ

ในขณะที่บ้านเรากำลังมีอากาศที่หนาวเย็น แต่แถวๆ เกาะกวม และก็ไม่ไกลจากประเทศฟิลิปปินส์ พายุหมุนเขตร้อน ลูกที่ชื่อว่า "นิด้า" วันนี้ได้ทวีปความรุนแรงขึ้นเป็น "ซุปเปอร์ไต้ฝุ่น" เรียบร้อยแล้ว มีความรุนแรงถึงระดับ 5 และมีความเร็วลมศูนย์กลางพายุถึง 270 กิโลเมตร เลยทีเดียว เร็วขนาดไหนนึกถึงเข็มหน้าปัดวัดความเร็วรถของเราได้เลยครับ

ซุปเปอร์ไต้ฝุ่นนิด้าลูกนี้ ไม่มีผลกระทบกับประเทศไทยนะครับ เพราะตอนนี้มีทิศทางการเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าสู่ญี่ปุ่น แต่ผู้เชี่ยวชาญของไทยคาดการณ์ว่า น่าจะอ่อนกำลังหรือสลายตัว เสียก่อนที่จะถึงญี่ปุ่น เพราะจะไปเจอกับน้ำทะเลที่มีอุณหภูมิที่เย็นกว่า ก็จะทำให้หมดพลัง และสลายหายไปครับ

ส่วนหย่อมความกดอากาศต่ำที่ปลายแหลมญวน ลูกนี้แหละครับ ที่อาจจะมีผลกระทบกับประเทศไทย โดยเฉพาะทางภาคใต้ตอนล่าง ตอนนี้ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุด พบว่า ยังอ่อนกำลังอยู่ครับ นักวิชาการบอกว่ายังคงต้องจับตามองจนกว่าจะสลายตัวไปอย่างชัดเจน เพราะยังคงมีการรวมตัวของมวลอากาศอยู่ การพัฒนาเป็นพายุจึงยังอาจเป็นไปได้ และกรมอุตุนิยมวิทยาของไทยเองก็บอกว่ายังต้องจับตา เพราะอาจจะขึ้นฝั่งใต้ตอนล่างได้ในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้

มีความคืบหน้า จะรายงานต่อนะครับ..กับ ทีวี 360 องศา ..(หมุนมือด้วย....)

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข่าวดีสำหรับคนชอบหนาว

หน้าหนาวปีนี้ อาจจะมาได้เร็ว และเย็นได้ใจ สำหรับหลายคนเลยนะครับ
วันนี้ครับ ในการเฝ้าติดตามสภาพอากาศหนาวในรายการ "ทีวี 360 องศา" ผมได้พบว่า ตอนนี้ได้เกิด "แม่คะนิ้ง" หรือน้ำค้างแข็ง ขึ้นที่บนยอดหญ้าของดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ แล้ว อุณหภูมิบนยอดหญ้าเช้าวันที่ 24 พย. ติดลบ 0.7 องศา ทำให้เกิดแม่คะนิ้ง ถือว่าเป็นแม่คะนิ้งช่วงแรกๆ ของหน้าหนาวปีนี้เลยทีเดียว ถือว่า มาไวมากนะครับ เพราะนี่ยังไม่เข้าเดือนธันวาคมเลย ซึ่งเป็นเดือนที่จัดว่าเข้าหน้าหนาวมากๆ ของประเทศไทย

ข่าวดีนี้ไม่ได้มีที่เชียงใหม่เท่านั้น ที่อ.อุ้งผาง และท่าสองยาง จังหวัดตาก ก็มีการพบเห็นเกร็ดน้ำแข็งตามกอหญ้า (ทำไมนักข่าวที่ตากไม่เรียกแม่คะนิ้งเหมือนที่เชียงใหม่ก็ไม่ทราบ) ขึ้นขาวตามกอหญ้าข้างทางเป็นจำนวนมากแล้วครับ อากาศกำลังหนาวได้ใจ ถึงขนาดชาวกะเหรี่ยง ที่อาศัยอยู่บนที่สูงๆ แถบนั้นอยู่แล้ว ยังสู้ความหนาวเย็นไม่ไหว ยังต้องออกมานั่งพิงไฟ รับความอบอุ่นกันเลย

จะหนาวได้ใจสำหรับทุกคนหรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่ความชอบนะครับ

แต่ตอนนี้ก็มีสิ่งที่จะมาขัดขวางความหนาวเย็นสำหรับประเทศไทยช่วงนี้แล้ว นั่นคือนับจากนี้ (24 พย.) เป็นต้นไป อากาศหนาวที่จีนที่แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ได้อ่อนแรงลงแล้ว ทำให้ต่อจากนี้ ประเทศไทยตอนบนก็จะมีอากาศที่อุ่นขึ้น แต่ก็ยังจัดว่าหนาวเย็นอยู่นะครับ ไม่ถึงขนาดข้ามไปร้อนเลยทีเดียว

ส่วนทางภาคใต้ตอนนี้น่าเห็นใจครับ เพราะกำลังมีหย่อมความกดอากาศต่ำ หรือหย่อมฝน ก่อตัวอยู่ใกล้ๆ แถบปลายแหลมญวน (แหลมญวนอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงปลายๆ ของประเทศเวียดนามนั่นแหละครับ) ขณะนี้กำลังเพิ่มกำลังแรงขึ้น บางคนคาดว่าจะกลายเป็นดีเปรสชั่น ในวันพรุ่งนี้ (25พย.)ครับ ส่วนทีศทางเท่าที่ผู้รู้คาดการณ์กัน คาดว่าจะมุ่งหน้าไปที่สิงคโปร์กับมาเลเซียครับ ไทยเราอาจได้รับหางๆ แต่หางๆ ที่ได้รับ ก็ยังน่าห่วงนะครับ เพราะทางใต้เพิ่งเจอน้ำท่วมมาถึง 2 ระลอก ถ้าเจอฝนตกนานจากพายุลูกนี้อีก คงแย่แน่ครับ (โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่หาดใหญ่)

อาทิตย์หน้าอาจต้องมาตามดูกันต่อนะครับ ว่าจะมีข่าวดีสำหรับคนชอบหนาวอีกหรือเปล่า

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โลกเปลี่ยนไปมาก..มนุษย์เตรียมรับมือรึยัง

ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ออสเตรเลีย อยู่ใกล้เรา เพียงแต่อยู่กันคนละซีกโลก แต่ออสเตรเลียก็กำลังเผชิญกับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรุนแรง โดยที่เราคนไทย ที่ว่าอยู่ใกล้ๆ กับออสเตรเลีย อาจจะไม่ทราบ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (16-20พย.52) ในรายการ "ทีวี360องศา" ทางช่อง 3 ผมได้รายงานว่า ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เขาเจอพายุหิมะ หรือไม่ก็ พายุฝนถล่มอย่างหนัก แต่ที่ออสเตรเลีย กลับเจอกับคลื่นความร้อน ด้วยอุณหภูมิไต่ระดับจาก 30 กว่าองศา จนทะยานขึ้นสูงกว่า 44 องศา ภายใน 1 สัปดาห์ และยังต้องประกาศเตือนภัย ห้ามจุดไฟในกิจกรรมต่างๆ ทุกชนิด โดยเฉพาะในรัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เพราะมีโอกาสเกิดไฟป่าขั้นรุนแรงได้สูง สุดท้ายก็จริงๆ ครับ ช่วงปลายสัปดาห์ได้เกิดไฟป่าที่รัฐควีนส์แลนด์จนได้ จนมีการเตรียมแผนอพยพประชาชนหนีไฟป่า

คุณผู้อ่านเชื่อมั๊ยครับว่า แทนที่ผมจะต้องคอยติดตามว่าสถานการณ์ไฟป่าที่ออสเตรเลีย จะแผ่กระจาย หรือลุกลาม ต่อไปอย่างไร เพื่อรายงานให้คนดูทีวี 360 องศาทราบ แต่กลับกลายเป็นว่า วันนี้(22พย.) มีรายงานว่า ได้เกิดฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย หรือบริเวณเดียวกับที่กำลังเกิดปัญหาไฟป่าและคลื่นความร้อน เฉพาะที่เมลเบิร์น ฝนตกข้ามคืนถึง 50 มิลลิเมตร จัดว่าหนักที่สุดในรอบ 4 ปีเลยทีเดียว

นักพยากรณ์อากาศของออสเตรเลียถึงกับบอกว่า เป็นสถานการณ์ที่น่ากลัว ที่พิบัติภัยทั้ง 2 อย่าง คือคลื่นความร้อน และฝนตกหนัก ได้มาเกิดภายในเดือนเดียวกัน แม้ว่าการที่มีฝนจะมาช่วยบรรเทาปัญหาไฟป่า ที่กำลังจะเกิดขึ้นในย่านนี้ก็ตาม

หรือนี่จะเป็นสัญญาณอะไร ของธรรมชาติ ที่กำลังแจ้งเตือนมนุษย์

ภาวะฝนตกหนักรุนแรงนี้เอง ศูนย์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยาของไทยเอง ก็ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นปัญหาที่ต้องติดตามกันว่า จะเกี่ยวข้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้หรือไม่

บริเวณที่น่าเป็นห่วงในระยะนี้ก็ได้แก่ ภาคใต้ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยฝั่งอ่าวไทย ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป เพราะช่วงนี้อิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนัก และคลื่นลมแรง

ส่วนภาคเหนือ อีสาน กลาง และตะวันออก ก็อย่าเพิ่งเพลินกับความหนาว เพราะหลังจากนี้ จะเกิดภัยแล้งมาเยือนแน่ โดยที่ผ่านมามีฝนตกน้อย และคาดว่าปรากฎการณ์เอลนิโญ่ที่จะพัฒนาแรงขึ้นในต้นปีหน้า จะทำให้ฝนปีหน้าตกในประเทศไทยน้อยลง รวมทั้ง เราอาจจะไม่หนาวเท่าปีที่แล้วด้วย

นี่แหละ..โลกเปลี่ยนไปมาก มนุษย์อย่างเราเตรียมรับมือรึยัง ความเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ได้มีแค่ในหนังนะ กำลังเกิดขึ้นจริง เพียงแต่เราไม่ค่อยรู้ เลยคิดว่า เป็นเรื่องไกลตัว

โลกร้อนอาจนำพาความขัดแย้งมาสู่มหาสมุทรอาร์คติค

ต่อไปคงเกิดความขัดแย้งในเรื่องน่านน้ำและการยึดครองทรัพยากรในมหาสมุทรอาร์ติค ทางขั้วโลกเหนือแน่ สาเหตุสำคัญมาจากการที่น้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์ติค ละลาย และคาดว่าจะละลายจนกลายเป็นทะเลเปิด ในปี2030 หรือ ปี 2573

ตอนนี้กองทัพเรือสหรัฐ ได้ขยับตัวรับสถานการณ์นี้แล้ว ถึงขนาดวางโรดแมพ ที่มีการกำหนดว่า จะมีการแข่งขัน และความขัดแย้ง เกิดขึ้น หลังจากที่โลกได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ในทะเลทางขั้วโลกเหนือ

นั่นคือ การที่อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นทุกปี จะทำให้ทะเลน้ำแข็งที่เชื่อมจากไซบีเรียทางฝั่งเอเชีย และอลาสก้าฝั่งทวีปอเมริกา ขาดออกจากกัน โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ภายใน 20 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2573 นี่แหละ ภาวะนี้เองที่จะทำให้มหาสมุทรอาร์คติดกลายเป็นทะเลเปิด การเดินเรือเพื่อการสำรวจทรัพยากรจะเกิดขึ้นได้โดยง่าย

ทรัพยากรที่คาดว่าจะมีอย่างมากมายในทะเลน้ำลึกของมหาสมุทรอา์ร์คติคก็คือ น้ำมันกับก๊าซธรรมชาติ

เมื่อถึงเวลานั้น คาดว่าจะมีการอ้างสิทธิเพื่อการสำรวจกันยกใหญ่ เพราะอย่างไรเสีย น้ำมันก็ยังเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญและจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์โลก แถมเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป และก็มีปริมาณสำรองในโลก น้อยลงทุกที

ภาวะโลกร้อนที่พัฒนามากขึ้นทุกขณะ จึงอาจจะนำพาปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น ให้มนุษยชาติได้เผชิญในอนาคต ..

เราคงไม่อาจทำอะไรไปได้มากไปกว่า.."เรียนรู้" ที่จะ "รับรู้" ผลกระทบที่เราจะเจอ แล้วหาทางอยู่ร่วมกับมัน อย่างมีความสุขให้ได้